0

Kawasaki Ninja ZX-4R แรง เล็ก สเปกจัดเต็ม…!!

ถ้าพูดถึงชื่อชั้นในวงการยานยนต์ Kawasaki จัดว่าไม่เป็นสองรองใคร ผู้ผลิตสองล้อเจ้าแรกในญี่ปุ่นอย่าง Meguro Motorcycles ที่โด่งดังด้วย Meguro T1 และอีกหลายตัว ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Kawasaki Heavy Industries ซึ่งผลิตตั้งแต่มอเตอร์ไซค์, เครื่องยนต์ยันเครื่องบิน

สิ่งที่ทำให้สองล้อของคาวาซากิ “โดดเด่น” คือ Know how และเทคโนโลยีจากแผนกต่างๆ ที่ถูกนำมาผสมผสานจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ พร้อมขับเคลื่อนให้ยักษ์เขียวจากญี่ปุ่นรายนี้ ประสบความสำเร็จในเวทีการแข่งขันระดับโลกร่วมกับนักแข่งดังระดับตำนานมาแล้วหลายต่อหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เอ็ดดี้ ลอว์สัน ที่ได้แชมป์ AMA Superbike ร่วมกับคาวา เคนนี่ โรเบิร์ต เองก็ใช้ Kawasaki H1R ในการแข่งขันครั้งแรกหรือแม้กระทั่ง เฟรดดี้ สเปนเซอร์ กับ เควิน ชวานซ์ ก็ล้วนเคยได้แชมป์ซูเบอร์ไบค์ร่วมกับคาวามาก่อนที่จะไปสังกัดค่ายอื่น

ค.ศ. 1980 – 1990 จึงเปรียบเสมือนยุคทองของทางค่าย ซึ่งโด่งดังด้วยรถซูเปอร์สปอร์ต 400 ซีซี เครื่องสี่สูบเรียง ที่รอบจัด กะทัดรัดและน้ำหนักเบา อย่าง ZXR 400 บรรพบุรุษของ Ninja Zx-4R สปอร์ตไซส์กลางรุ่นใหม่ที่ทางคาวา ส่งจดหมายเชิญมาให้ผมไปร่วมงาน NEW MODEL TEST RIDING ณ สนาม พีระเซอร์กิต ในครั้งนี้

รายละเอียดและฟิลลิ่งคร่าว ๆ ของตัวรถที่มีโอกาสได้ทดสอบประมาณสองเซสชั่น จะเป็นยังไง ไปติดตาม Mini Review ในครั้งนี้กันได้เลยครับ..

รายละเอียดเด่น ๆ

Ninja ZX-4R มาพร้อมทรวดทรงและโครงสร้างแบบรถซูเปอร์สปอร์ตเต็มสูบ ซึ่งเข้ามาเติมช่องว่างระหว่าง ZX-25R และ ZX-6R พี่น้องพิกัด 250 – 600 ซีซี ด้วยงานดีไซน์ที่ใช้คีย์พอยท์เดียวกันกับรถในตระกูลนี้ โดยเน้นความ โฉบเฉี่ยว มีเหลี่ยมมุม ดุดัน ชูเอกลักษณ์ด้วยช่องแรมแอร์ด้านหน้า บ่งบอกถึงความเป็นรถสปอร์ตที่ย่อส่วนมาจาก ZX-10RR ซูเปอร์ไบค์รุ่นใหญ่สุดของทางค่าย ในสัดส่วนความสูง ความยาว และน้ำหนักที่เหมาะกับชาวเอเชียอย่างเรา ทำให้การขึ้นคร่อม ควบคุม และหนีบถัง ทำได้อย่างถนัด เท้าแตะพื้นได้สบาย ในส่วนของสเปกสำหรับรุ่น SE สีเขียวลาย KRT ราคา 360,000 บาท ตัวนี้ ให้มาค่อนข้างครบถ้วน เริ่มต้นด้วยโหมดขับขี่ 4 โหมด Sport, Road , Rain และ Rider เพิ่มความปลอดภัยด้วย KTRC แทร็กชั่นคอนโทรล รวมถึง Power Mode ที่สามารถเลือกได้ระหว่าง Full และ Low ซึ่งมันปรับง่ายไม่ยุ่งยาก เพราะทุกอย่างลิงก์รวมกันหมดเช่น ถ้าเลือกโหมด Sport ระบบ KTRC จะถูกปรับได้ที่ระดับ 1 (น้อยสุด) Power จะอยู่ที่ Full กำลังมาเต็ม หรือถ้าอยากปิด Traction ก็ต้องเลือกโหมด Rider มันเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐานที่คนขี่รถใหญ่น่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

เพิ่มออฟชั่นให้ครบครันขึ้นด้วยควิกชิพขึ้น/ลง และสลิปเปอรคลัตช์ ระบบเบรกหน้าเรเดียลเมาท์ โมโนบล็อก 4 ลูกสูบ ทำงานร่วมกับจานดิสก์คู่ Semi-floating ขนาด 290 มม. โช้คหน้าให้มาเป็น Showa SFF-BP หัวกลับขนาดแกน 37 มม. ปรับ Preload ได้ หลังเดี่ยว Horizontal Back-link (Showa BFRC) ปรับค่าได้ เรือนไมล์สี TFT สวยงาม เชื่อมต่อ Smart phone เบาะสปอร์ตใหญ่นิ่ม นั่งสบาย

สุดท้ายคือดาวเด่นของงานนั่นคือเครื่องยนต์ Inline-four บล็อกใหม่ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วเครื่องของรถในคลาสนี้มีตั้งแต่ 250-400-600 และไปหยุดที่ 750 ซีซี ในยุคนั้นคาวาซากิผลิตเครื่องสี่สูบเรียง 400 ซีซี ออกมาเป็นเจ้าแรก จึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้ามันจะเป็นอะไรที่ “อยู่มือ” เขาอยู่แล้ว ZX-4R มาพร้อมขุมพลังสี่สูบ 399 ซีซี DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ มิติกระบอกสูบ x ช่วงชัก 57.0 x 39.1 มม. Under Square กำลังอัดสูงสุด 12.3:1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด DFI เรือนลิ้นเร่ง EVT (Electronic throttle valves) ขนาด 34 มม. เกียร์ 6 สปีด ให้แรงม้าสูงสุด 77 PS (75.9 HP) ที่ 14,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 37.6 นิวตันเมตร มาที่ 12,500 รอบ/นาที

ลงสนาม พีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา

เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายมากเสียงเงียบ นุ่ม รอบเดินเบาอยู่แถว ๆ 1,700 รอบ/นาที รอบเครื่องถือว่ามาเร็วทีเดียวเมื่อตวัดคันเร่งจาก 2,000 ไป 4,000 รอบ/นาที (เทียบกับ GPZ 400 ปี 1985 ที่แรงม้าสูงสุดมาที่ 10,500 รอบ/นาที ) คลัตช์เป็น Assist & Slipper Clutch ที่นอกจากป้องกันไม่ให้ล้อล็อก ท้ายปัดเวลาเชนจ์เกียร์หนัก ๆ แล้ว ยังช่วยให้ก้านคลัตช์นุ่มขึ้นด้วยเลยบีบง่ายมาก โดยผมปรับ Riding mode ไปที่ Rider กำลังมาเต็มและปิด Traction control เพราะคุ้นเคยกับฟังก์ชั่นการทำงานและโหมดต่าง ๆ ของรถจากคาวาซากิอยู่แล้ว

ออกสู่แทร็กเริ่มเร่งความเร็ว รอบเครื่องยนต์ในแต่ละเกียร์ตอบรับกันได้ดี ปลายไม่ห้อยเลย แต่ที่น่าสังเกตคือเครื่องยนต์ 400 ซีซี มีลูกสูบเล็ก รอบจัด รอบเครื่องที่ใช้อย่างต่ำ ๆ ต้องอยู่ประมาณ 4,000-4,500 แรงบิดถึงจะพุ่งขึ้นมารับกับเกียร์ต่อไป นั่นหมายความว่า ย่านกำลังงานถูกขยับตามขึ้นไปด้วยเพราะแรงม้าสูงสุดมาที่ 14,500 รอบและใช้รอบเครื่องได้สูงสุดถึง 15,000 รอบ/นาที พาวเวอร์แบนด์มันค่อนข้างกว้างทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เราสามารถใช้เกียร์ได้ยาวขึ้น

เครื่องยนต์มีเอนจิ้นเบรกน้อย ถือเป็นคาแล็คเตอร์ของรถรอบจัดอยู่แล้ว บางจังหวะเลยสามารถใช้เกียร์ 3 รอบสูงในโค้งแล้วเร่งได้เลย ตัวรถมีน้ำหนักค่อนข้างเบา คล่องตัว และพลิกเข้าโค้งได้ง่ายจากโครงสร้างเฟรมแบบ geometric แชร์น้ำหนักเป็นรูป 3 เหลี่ยม เน้นความเป็นสปอร์ต ให้การควบคุมที่เฉียบคม แบบเดียวกับ ZX-10RR ต่างกันเล็กน้อยตรงองศาคอ (Rake) ที่ของ ZX-4R แคบกว่าเพียง 0.3° เพราะเป็นรถเล็กและมีน้ำหนักที่เบากว่า

ช่วงล่างโช้คหน้า Showa SFF-BP เชื่อขนมกินได้อยู่แล้ว เพราะเป็นโช้ค OEM ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง เวลาเบรกหรือเชนจ์หนัก ๆ ด้วยความกว้างของเครื่องยนต์ที่เป็นสี่สูบซึ่งวางอยู่บนเฟรม Trellis ขนาดเล็กน้ำหนักเบา อาจจะรู้สึกเหมือนโช้คนิ่มรถโบกนิด  ๆ บ้าง แต่โช้คหน้าตัวนี้สามารถปรับ Preload ได้ แค่ขันขึ้นหน่อยก็หาย และจะยิ่งรู้สึกว่ารถเอียงได้เร็วและง่ายขึ้น เมื่อบวกเข้ากับค่า CG ซึ่งจุดศูนย์นั้นวางมาต่ำและมีตัวเครื่องที่กว้างออกด้านข้างคอยช่วยให้น้ำหนัก ระบบเบรกหยุดความเร็วได้ดีสุดทางตรงหน้าสนามชะลอความเร็ว 189 กม./ชม. ในเกียร์ 5 เอียงเข้าโค้งหนึ่งสบาย

หลายคนอาจคิดว่าเขาแค่เอาเครื่อง ZX25R มาขยายความจุกระบอกสูบ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย แค่กระบอกสูบอย่างเดียวก็กว้างกว่า ZX 25R ถึง 7 มม. 4 สูบเท่ากับ 32 มม. คูณสองไปอีกคือ 64 มม. สรุปกว้างกว่า ZX 25R เกือบ 2.51 นิ้ว องค์ประกอบภายในมันใช้ด้วยกันไม่ได้แน่นอน จึงต้องเป็นของใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกสูบ เรือนลิ้นเร่ง พอร์ตไอดีที่ขัดมา แคมฟอร์จ เกียร์ ชุดคลัตท์ ฯลฯ โช้คหน้าเองก็เช่นกันถึงจะหน้าตาเหมือนของ ZX25R แต่ไส้ในไม่ว่าจะเป็นชิมวาล์ว สปริง ล้วนถูกปรับมาใหม่ให้สามารถรองรับรถพิกัด 400 ซีซี ได้ เป็นอย่างดี

วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจสามารถไปลอง ไปจอง กันได้แล้วที่ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์คาวาซากิทุกสาขาทั่วประเทศครับ

📷: Kritchanut Boonchoeisak / Kawasaki Thailand

Related